จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การแก้ปัญหาความขัดแย้ง





การแก้ปัญหาความขัดแย้ง >>ในการทำงาน ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องอาศัยองค์ประกอบของจิตใจ ความรู้สึก ความคิด ในศาสตร์ของการบริหารจัดการ กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การบริหารจัดการจึงจำเป็นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์” สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ผู้บริหารต้องพบเจอประจำเสมอ คือ ความขัดแย้ง ความขัดข้อง ของบุคคลในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งการพิจารณาความดีความชอบ พิจาณาผลงาน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อาจต้องประสบพบเจอกับความขัดแย้งมากขึ้น จึงขอนำเสนอแนวทาง วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว จากบทความ KM ของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เพื่อเป็นหนทางสู่ 116 วัน สร้างสามัคคี ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สืบไป
ความขัดแย้งคือความรู้สึกของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ที่มีความคิดเห็นหรือความเข้าใจว่าเป้าหมายหรือผลประโยชน์ของตนเองนั้นถูกขัดขวางสกัดกั้นหรือไม่ลงรอยกัน( Incompatible Goal ) กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล องค์กร สังคมหรือระดับประเทศในเกือบทุกหนทุกแห่งได้ใช้สันติวิธีเข้าช่วยคลี่คลายความขัดแย้งมากกว่าการใช้ความรุนแรง เพราะการใช้ความรุนแรงก็เหมือนกับเรากำลังล่อเลี้ยงความโกรธ ความเกลียดความทุกข์ร้อนของทุกฝ่าย สะสมเป็นพลังดันที่แรงขึ้นเรื่อยๆจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงโต้ตอบในที่สุด และปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนก็เช่นเดียวกันเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างนักเรียนด้วยกันเองนักเรียนกับคุณครู คุณครูกับคุณครูหรือคุณครูกับผู้ปกครองทางโรงเรียนมีวิธีการหรือกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งโดยใช้หลักการประนีประนอม(Compromise)โดยเริ่มตั้งแต่
1.วิเคราะห์สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยบุคคลกลาง (ครู,นักเรียน,ผู้ปกครอง) เป็นคนที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง
2. บุคคลกลางหรือผู้ที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง เป็นผู้พูดคุยกับทั้ง 2 ฝ่ายถึงสาเหตุทีละคน เพื่อจะได้ เรียนรู้ถึงความเหมือนและความแตกต่างของความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน
3. บุคคลกลางก็จะคิดพิจารณาถึงลักษณะของข้อขัดแย้ง สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากอะไร
4. เมื่อทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแล้ว ก็จะเรียกบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยพร้อมกัน โดยบุคคลกลางจะเป็นผู้พูดชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นและผลที่จะได้รับเมื่อเกิดความขัดแย้ง
5. ให้ทั้งสองฝ่ายพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ใส่ใจรับฟังกันอย่างมีสติ อดทน ระมัดระวังเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก หรืออาจจะเป็นการเจรจาต่อรอง และสามารถตกลงกันได้โดยการพบกันครึ่งทาง เพื่อให้ได้ข้อยุติของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเองและฉันท์มิตร
นอกจากการแก้ปัญหาด้วยวิธีการประนีประนอมแล้ว ยังมีวิธีการต่างๆมาจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยจำแนกตามพฤติกรรมเป็นสำคัญซึ่งได้แก่
1.การหลีกเลี่ยง ( Avoidance ) เป็นการหลบเลี่ยงปัญหา พยายามให้ตนเองหนีไปจากเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามที่จะนำข้อโต้แย้งมาหาตน โดยอาจจะเปลี่ยนประเด็นการสนทนา วิธีนี้จะใช้ได้ดีสำหรับประเด็นที่ไม่ค่อยสำคัญนัก
2. การปรองดอง ( Accommodation ) เป็นวิธีการแก้ปัญหาโดยการยอมเสียสละความต้องการของตนเองเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุความต้องการของตนเอง ซึ่งทำให้บรรเทาความขัดแย้งได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะคู่กรณีที่ได้รับประโยชน์เกิดความพึงพอใจและยุติข้อขัดแย้ง แต่อีกฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็จะรอวันที่แก้แค้น
3. การแข่งขัน ( Competition ) เป็นการใช้วิธีเอาแพ้เอาชนะ อาจจะต้องใช้อำนาจหรือแสดงความก้าวร้าวรุนแรงเมื่อมีสิ่งกีดขวางมิให้บรรลุเป้าหมาย จึงใช้วิธีการที่อาจจะต้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองหวังไว้ วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งวิธีนี้ใช้ได้ผลเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเพียงเวลาสั้นๆ และไม่มีความจำเป็นต้องรักษาสัมพันธภาพในระยะยาว
การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการพบหน้ากัน เจรจาและทำความตกลงร่วมกันจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความชำนาญของผู้เกี่ยวข้องที่จะต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้ง ดังนี้ ความสามารถในการพิจารณาลักษณะของข้อขัดแย้ง,การจำแนกประเด็นของข้อขัดแย้ง,การเริ่มต้นเจรจาแก้ไขข้อขัดแย้ง,การรับฟัง,การให้เหตุผลและใช้เหตุผล,การรู้จักปฏิกิริยาทางอารมณ์ของผู้อื่นและรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลเสียแต่อย่างเดียว หากพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้วจะพบว่าความขัดแย้งก็มีด้านผลดีที่เป็นประโยชน์หลายด้าน เช่น
1.ทำให้องค์กรไม่หยุดนิ่ง
2.ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความสามัคคี เกิดความกลมเกลียวกัน
3. ทำให้เกิดความคิดแปลกใหม่
เห็นไหมครับ ในทุกสรรพสิ่งที่เราคิดว่ามีแต่โทษ ก็อาจเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลได้เหมือนกัน แล้วยังจะมาโทษ โกรธเคืองกันไปไย หันหน้าเข้าหากันแล้ว ยิ้ม ไหว้ ทักทาย กันว่า “สวัสดีครับ คุณเป็นคนดี คุณเป็นคนเก่ง คุณเป็นคนที่ช่วยให้องค์กรเราพัฒนา” ดั่งเช่นน้ำที่ไสสะอาดต้องมีการไหลเวียน ถ่ายเท อยู่เสมอ ถ้าเจอน้ำแหล่งใดที่สงบนิ่งนาน ๆ สักวันอาจเป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุงก็ได้ ใช่ไหมละครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น